วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

CHRISTOPHE JOSSE คริสตอฟ จอสส์ ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส เจ้าของตำแหน่ง “แกรนด์ กูตูร์ริเย่ร์” ตำแหน่งอันทรงเกียรติที่สมาพันธ์ห้องเสื้อชั้นสูงแห่งประเทศฝรั่งเศส (La Chambre Syndicale de la Haute Couture Française) มอบให้กับผู้สร้างสรรค์ผลงานการออกแบบชั้นสูงระดับโอต์ กูตูร์ซึ่งมีเพียง 12 ห้องเสื้อชั้นนำระดับโลกเท่านั้น ที่ได้พิสูจน์ฝีมือจนได้ตำแหน่งอันทรงเกียรติมาครองนี้ ได้แก่ Adeline André, Anne Valérie Hash, Atelier Gustavolins, Chanel, Christian Dior, Christophe Josse, Franck Sorbier, Givenchy, Jean Paul Gaultier, Maurizio Galante, Stéphane Rolland และ Giambattista Valli

CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
สำหรับงานครั้งนี้ คริสตอฟ จอสส์ นำเสนอคอลเลคชั่นโอต์ กูตูร์ “Opulently Uncluttered” ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากโบสถ์ Church of Lights ในเมืองอิบารากิ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของทะดะโอะ อันโดะ สถาปนิกชื่อดังชาวญี่ปุ่น คอลเลคชั่นนี้สื่อถึงความโรแมนติกแบบร่วมสมัย เจือกลิ่นอายสปอร์ตแวร์จางๆ ใช้โครงสร้างแบบเรขาคณิต ให้อารมณ์มินิมัลแบบไม่จงใจ จุดเด่นอยู่ที่การนำวัสดุต่างเท็กซ์เจอร์มาผสมผสานกันอย่างลงตัวในแต่ละชุด อาทิ การแมชต์หนังจระเข้มันวาวกับผ้าเครปด้าน หรือการเนรมิตผ้าเครปสีขาวให้เกิดประกายเหลือบด้วยเทคนิค การไล่สีเลื่อม หรือการนำเม็ดแก้วเป่าสีทองมาประดับบนขนบีเวอร์ และผ้านีโอพรีน รวมถึงการใช้หนังแก้วสีทองประดับบนผ้าชีฟองสีดำที่ดูราวกับแร่ทองคำกำลังหลอมละลายอยู่บนเนื้อผ้า โทนสีหลักที่เลือกใช้คือขาว เทาอมเบจ ทอง และ ดำ และยังมีสีโอลด์โรส ม่วงไลแลค เทามุก ชมพูเหลือบเทา และสีฟ้าอมเขียวน้ำทะเล
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
คริสตอฟ จอสส์ สั่งสมประสบการณ์ด้านแฟชั่นจากการร่วมงานกับห้องเสื้อชั้นนำของฝรั่งเศสเป็นเวลากว่า15 ปี หลังจากจบการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ศิลป์จากมหาวิทยาลัยในปารีส และเลือกศึกษาต่อในสาขา Stylisme ก็ได้เข้าฝึกงานกับแบรนด์ Louis Féraud ต่อมาได้ร่วมงานกับห้องเสื้อ Torrente ห้องเสื้อชั้นสูงที่มีประวัติเก่าแก่ยาวนานของฝรั่งเศส ในฐานะผู้ช่วยมือหนึ่งของ Rose Torrente-Mett เจ้าของห้องเสื้อ
และต่อมาในปี 2003 หลังจากที่ Rose Torrente-Mett เสียชีวิตลง ก็รับบทบาทผู้สืบทอดตำแหน่งผู้อำนวยการ ห้องเสื้อ เขาเริ่มแสดงผลงานคอลเลคชั่นแรกในชื่อตนเอง ในปี 2005 และในปี 2006 ได้รับเกียรติจากสมาพันธ์ห้องเสื้อชั้นสูงแห่งประเทศฝรั่งเศสให้ร่วมโชว์ผลงานบนเวทีโอต์กูตูร์ แฟชั่นวีคในปารีส ในฐานะสมาชิกรับเชิญ ต่อมาในปี 2008 ได้ก่อตั้งห้องเสื้อของตนเองขึ้นในปารีส และในปี 2011 ก้าวขึ้นสู่ความเป็นที่สุดในตำแหน่ง “แกรนด์ กูตูร์ริเย่ร์”

CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
เอกลักษณ์อันโดดเด่นของคริสตอฟ จอสส์ คือผลงานแฟชั่นชั้นสูงที่สวมใส่ได้จริง สไตล์ “Urban Romanticism” สื่อถึงความเป็นผู้หญิงเต็มเปี่ยม ทั้งความโรแมนติก งามสง่า บางเบา อ่อนหวาน และนุ่มนวล ฟุ้งไปด้วยจิตวิญญาณแบบฝรั่งเศสผสมผสานกับดีไซน์ร่วมสมัย รังสรรค์ด้วยฝีมือการตัดเย็บอันประณีตจากช่างผู้ชำนาญ โดยนำเสนอทั้งคอลเลคชั่นโอต์ กูตูร์ และ Ready to wear

CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557


Georges Méliès พ่อมดแห่งวงการภาพยนตร์

Georges Méliès (8 Dec 1861- 21 Jan 1932)
              Georges Méliès est un cinéaste français, universellement considéré comme le créateur du spectacle cinématographique, car il est le premier à avoir eu l'idée d'utiliser le cinéma comme spectacle , au delà de son intérêt scientifique.
              En 1897 il crée un studio vitré dans sa propriété de Montreuil et filme ses acteurs devant des décor peints, directement inspirés par les spectacles de magie de son théâtre, le théâtre Robert Houdin, il développe aussi un atelier de coloriage manuel de ses films, procédé largement inspiré de ce qui se fait pour la colorisation de photos en noir et blanc. Son premier film important, L'Affaire Dreyfus (1899) est une reconstitution de 10 minutes qui témoigne de son intérêt pour réalisme politique.

             Le Voyage dans la lune (1902) son chef-oeuvre véritable d'illusions photographique et d'innovations techniques, est son film le plus célèbre. Depuis 1961, l'association des amis de Georges Méliès recherche et restaure les films disparus de Méliès et organise des projection ai recréent l'ambiance des premières séances de cinéma, avec un pianiste et bonimenteur.


ผู้คิดเทคนิคการทำภาพยนต์คนแรก

     Georges Méliès นักภาพนตร์ชาวฝรั่งเศสผู้ที่ได้รับการยกย่องในระดับสากลว่าเป็นนักรังสรรค์การแสดงในเชิงภาพยนตร์ เค้าเป็นบุคคลแรกที่มีแนวคิดในการใช้ภาพยนตร์เป็นสื่อเพื่อสร้างความบันเทิง
      ในปี ค.ศ. 1897 เขาได้สร้งสตูดิโอกระจกขึ้นในที่ดินของเขาที่เมือง Montreuil และได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องแรกโดยนักแสดงของเขา (บ่อยครั้งที่ร่วมแสดงเอง) กับฉากที่ถูกเขียนขึ้นจากฝีมือการวาดภาพของเค้าเอง ภาพยนตร์ในช่วงแรก ๆ ของเขา เค้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากการแสดงมายากลจากลครของเค้า และ Robert Houdin
      ด้วยอัจฉริยะทางศิลปะของ Georges Méliès เค้าได้คิดค้นเทคนิคการถ่ายทำภาพยนตร์สี โดยพัฒนาโรงแต่งสีภาพยนตร์ด้วยมือ ทำให้ภาพขาวดำเกิดสีสรรค์
      L'Affaire Dreyfus (1899) ภาพยนตร์เรื่องแรกของ Georges Méliès เป็นภาพยนตร์ความยาว 10 นาที ซึ่งเป็นประจักษ์พยานให้เห็นถึงความสนใจของเขาต่ออรรถนิยมทางการเมือง
     Le Voyage dans la lune ผลงานชิ้นโบว์แดงทางมายาภาพยนตร์ นวัตกรรมทางเทคนิคอันยิ่งใหญ่ที่สร้างชื่อให้กับเค้ามากที่สุด ผลงานที่มีคนกล่าวถึงว่าเป็นภาพยนตร์อมตะที่ไม่มีวันตาย
     1961 : สมาคมสหายแห่ง Georges Méliès ได้ทำการสืบค้นและบูรณะภาพยนตร์ที่สูญหายไป และจัดฉายภาพยนตร์ที่ให้บรรยากาศเหมือนในยุคแรกเริ่ม น่าเสียดายที่พ่อมดแห่งวงการภาพยนตร์ที่เปี่ยมไปด้วยอัจฉริยภาพคนนี้ ต้องจากโลกนี้ไปก่อนที่จะได้เห็นความรุ่งโรจน์แห่งวงการภาพยนตร์ ถ้าเค้ายังมีชีวิตอยู่ เค้าคงจะรังสรรค์งานศิลปะบนแผ่นฟิล์มให้เราได้ชมกันไม่มีวันหน่ายเลยทีเดียว

วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2557

              ครั้งแรกที่ได้รับคำเชิญจากสายการบินไทยแอร์เอเชีย ให้ร่วมเดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานประกอบเครื่องบินแอร์บัส ที่เมืองตูลูส (Toulouse) ประเทศฝรั่งเศส ในโอกาสที่สายการบินไทยแอร์เอเชีย สั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัส A320 เครื่องใหม่ป้ายแดงยกฝูง 40 ลำ เพื่อนำมาให้ บริการคนไทย

หลังทนนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่บนเครื่องบินนานกว่า 10 ชั่วโมง เราก็ลัดฟ้ามาถึงเมืองตูลูส เมืองใหญ่อันดับ 4 ของดินแดนแห่งน้ำหอมและแฟชั่น แรกที่ได้สัมผัส ยอมรับว่าผิดคาดจริงๆ เมืองตูลูสไม่มีสภาพของเมืองอุตสาหกรรมให้เห็นแม้แต่นิดเดียว ทั้งที่เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอากาศยาน นอกจากจะมีโรงงานประกอบเครื่องบินของแอร์ บัสแล้ว ที่นี่ยังเป็นศูนย์การศึกษาอวกาศแห่งชาติ (Centre National d'Etudes Spatiales) รวมทั้งมีบริษัทสร้างดาวเทียมธีออสตั้งอยู่อีกด้วย

 

เมืองตูลูส เป็นเมืองหลวงของแคว้นมีดิ-ปิเรเน่ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส สภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นที่ราบสลับเนินเขา อากาศอบอุ่นแบบเมดิ-เตอร์เรเนียน ไม่หนาวเหน็บเหมือนตอนเหนือ แม้จะเป็นเมืองใหญ่แต่ ก็ไม่แออัด ผู้คนตั้งบ้านเรือนกระจายกันอยู่ทั้งในเขตเมืองชั้นใน เขตเมืองชั้นนอก และเขตชนบท ซึ่งส่วนใหญ่ยังยึดอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก โดยในเขตตัวเมืองชั้นใน ตึกรามบ้านช่องนิยมก่อสร้างด้วยอิฐดินเผาแบบโบราณสีแดงก้อนโตๆ เหตุนี้เองทำให้ เมืองตูลูสได้รับสมญาว่า “เมืองสีชมพู” (Ville Rose) ยิ่งยามเย็นพระอาทิตย์ใกล้ตกดินจะเห็นได้เด่นชัดว่าเมลืองมลังด้วยแสงสีชมพู อาคารส่วนใหญ่จะเน้นสถาปัตย-กรรมสไตล์ฝรั่งเศส โดยเฉพาะยุคเรอเนสซองส์ แต่ละหลังมีความสูงเพียงไม่กี่ชั้น ไม่มีตึกสูงๆระเกะระกะตาให้ เห็น เขตเมืองชั้นในนี้มองเผินๆคล้ายนครปารีสที่เป็นเมืองหลวงเช่นกัน

ประชากรที่นี่มีอยู่ราวๆ 1 ล้านคนเท่านั้น และมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ นอกจากคนฝรั่งเศสแท้แล้ว ยังมีชาวแอลจีเรีย แอฟริกัน มุสลิม ซิกข์ รวมทั้งคนเอเชีย จีน ไทย และลาว อยู่รวมกันอย่างสงบสุข คนตูลูสเป็นคนสบายๆ ยิ้มง่าย ไม่ค่อยซีเรียส สภาพเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในขั้นดี

วิถีชีวิตผู้คนก็ไม่เร่งรีบมากนัก เช้าก็ไปเรียน ไปทำการทำงาน พอตกบ่ายทั้งวัยรุ่นหนุ่มสาวและคนทำงาน จะพากันมานั่งจิบน้ำชา กาแฟ ซดเบียร์ พูดคุยสรวลเสเฮฮากันตามร้านอาหารในย่านจัตุรัส “ปลาซ ดู กาปิตอล” (Place du capitole) ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง หรือไม่ก็เดินช็อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมดังๆ ระดับโลกในย่านนั้นกันอย่างสบายอารมณ์ ถึงจะไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวชั้นนำของฝรั่งเศส แต่เมืองตูลูสก็มีของดีไว้ อวดแขกบ้านแขกเมืองกับเขาเหมือนกัน ยิ่งคนที่ชอบด้านศิลปะและสถาปัตยกรรมด้วยแล้วห้ามพลาดเมืองนี้เด็ดขาด



สถานที่แรกที่ควรไปเยี่ยมชมคือ “โบสถ์แซงต์ แซร์แนง” (La Basilique Saint Sernin) ที่มีชื่อเสียงก้องโลก สร้างขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 11-12 ศิลปกรรมโรมันเนสก์ โบสถ์หลังนี้มีประวัติความเป็นมายาวนาน ถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยน้ำมือข้าศึกผู้รุกราน แต่ชาวเมืองก็ต่อสร้างเสริมขึ้นใหม่เรื่อยๆ จุดเด่นคือยอดโดมหรือหอคอย ที่มีความสูงมากกว่าตึก 10 ชั้น สมัยก่อนใช้เป็นที่เฝ้าดูข้าศึกที่จะเข้ามาโจมตีเมือง ภายในตัวโบสถ์โอ่อ่าอลังการ จุคนได้นับพันคน บรรยากาศเข้มขลังปนลึกลับ พาลให้นึกถึงหนังเรื่อง “รหัสลับดาวินซี” แต่พอคุ้นสักพักก็ทำให้จิตใจสงบสุขได้อย่างประหลาด

อีกสถานที่หนึ่งที่ห้ามพลาด “โบสถ์แซงต์ เอเตียง” (Saint-Etienne Cathedral) ตั้งอยู่ในเขตตัวเมืองตูลูสเช่นกัน แม้จะมีขนาดเล็กกว่าโบสถ์แซงต์ แซร์แนง แต่ก็มีความสวยงามและมีประวัติน่าสนใจไม่แพ้กัน โบสถ์แซงต์ เอเตียง เริ่มก่อสร้างในยุคจักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ และมีการปรับปรุงเรื่อยมา ภายในโบสถ์จะมีกระจกสี (Stained glass) บอกเล่าเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิล ประดับประดาอยู่ตามบานหน้าต่างของตัวโบสถ์ ถือเป็นจุดเด่นของโบสถ์สไตล์โกธิค



เมืองตูลูสมีดอกไม้ประจำถิ่น ชาวเมืองเรียกว่า “ไวโอเลต เดอ ตูลูส” ลักษณะเป็นดอกเล็กๆ สีม่วง คล้ายดอกดุสิตา ซึ่งเป็นกล้วยไม้ดินชนิดหนึ่งในบ้านเรา จะเบ่งบานชูช่อในราวเดือนพฤศจิกายน ว่ากันว่าช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่เมืองตูลูสสวยงามที่สุด เพราะนอกจากจะอากาศดีแล้ว ยังมีสีสันของดอกไม้มาช่วยแต่งแต้มความงามให้กับเมืองเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ชาวตูลูสนิยมเก็บดอกไม้ชนิดนี้มาทับให้แห้ง ทำเป็นของที่ระลึก อาทิ ที่คั่นหนังสือ หรืออาจนำไปแปรรูปเป็นชา หรือผสมกับน้ำตาลทรายให้เป็นสีม่วง ขายให้นักท่องเที่ยว

เที่ยวชมเมืองตูลูสจนหนำใจแล้ว ถ้าใครมีเวลาก็ไม่ควรพลาด ขับรถเลยจากตัวเมืองตูลูสไปราว 90 กิโลเมตร ก็จะถึงเมืองโบราณที่มีชื่อว่า “เมืองคาร์คาซอน” (Carcasonne) สร้างขึ้นสมัยโรมันเรืองอำนาจ ใน ค.ศ.453 จากนั้นมีการก่อสร้างเพิ่มเติมในยุคต่อๆมาอีกหลายสมัย กระทั่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ.1997



เมืองนี้มีความแปลกเนื่องจากตัวเมืองตั้งอยู่ในกำแพงปราสาท ซึ่งมีชัยภูมิที่ดีเพราะอยู่บนเนินสูง มองเห็นข้าศึกได้แต่ไกล มีการก่อสร้างกำแพง คูคลอง และหอรบไว้พร้อมสรรพ จนกลายเป็นป้อมปราการขนาดใหญ่ที่ข้าศึกยากจะพิชิตได้ง่ายๆ ปัจจุบันถือเป็นเมืองโบราณที่ยังมีชีวิต เข้าไปเยี่ยมชมแล้วคล้ายย้อนกลับไปสู่ยุคกลางของยุโรป ภาพอัศวินนักรบสวมเกราะเหล็กหนักอึ้ง ถือทวนยาวเฟื้อยควบม้าวิ่งเข้าต่อสู้กัน ปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นในจินตนาการทันที หากใครเคยชมภาพยนตร์เรื่อง “โรบินฮูด” ภาคที่มี “เควิน คอสเนอร์” แสดงเป็นพระเอก ก็คงร้องอ๋อ เพราะฉากในหนังเรื่องนั้นส่วนใหญ่ถ่ายทำที่เมืองคาร์คาซอนแห่งนี้

หากใครมีโอกาสแวะไปฝรั่งเศส ลองไปเยี่ยมเยือนเมืองตูลูสบ้าง แล้วจะพบว่าฝรั่งเศสมีอะไรมากกว่าแหล่งช็อปปิ้ง แฟชั่นเสื้อผ้า และน้ำหอม เพราะ ตูลูสอบอุ่นเกินกว่าที่คิด ไปเยือนแล้วอาจทิ้งหัวใจไว้ที่นั่นก็ได้