วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ที่ท่องเที่ยวในเนเธอร์แลนด์

แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในเนเธอร์แลนด์

 
Keukenhof
เป็นสถานที่ที่ทุกคนใฝ่ฝันและนึกถึงเป็นอันดับแรกเมื่อมาเยือนเนเธอร์แลนด์ แน่นอนว่าถ้าพูดถึงเนเธอร์แลนด์ทุก ๆ คนต้องนึกถึงทิวลิป ซึ่งจะบานในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งสวนทิวลิปที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็คือสวนสาธารณะ Keukenhof ซึ่งมีดอกไม้มากกว่า 7,000,000 ดอกบานในทุก ๆ ปี และไม่เพียงแต่ทิวลิปเท่านั้น ยังมีกล้วยไม้นานาพันธุ์, กุหลาบ, คาร์เนชั่น, ไอริส, ลิลลี่, แดฟโฟดิล และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งผู้มาเยือนต่างก็มีความประทับใจในสวนแห่งนี้ ซึ่งถ้าคิดแค่ในช่วง 8 สัปดาห์ที่สวนสาธารณะแห่งนี้เปิดให้เข้าเยี่ยมชมนั้น พบว่าสวนแห่งนี้นั้นมีผู้มาเยือนมากกว่า 800,000 คนต่อปี
การเดินทางนั้นสามารถเดินทางจาก The Hague, Haarlem, Leiden, Delft และ Amsterdam เพียงแค่ครึ่งชั่วโมง อย่างไรก็ตามวิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงรถติดในช่วงที่สวนสาธารณะเปิด คือการขี่จักรยานค่ะ
 
Canals of Amsterdam
สำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่า หากคุณไปเยือนอัมสเตอร์ดัม เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะไม่ได้เยี่ยมชม เดิมผ่าน หรือล่องเรือตามคลองภายในเมืองอัมสเตอร์ดัม ทุก ๆ ลำคลองในอัมสเตอร์ดัมมีความสวยงามและมีเอกลักษณ์ของตัวมันเอง นอกจากนี้สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของคลองต่าง ๆ นั่นคือ สะพาน ซึ่งมีทั้งสิ้น 15 สะพานข้ามคลอง
 
The Begijinhof
เป็น 1 ในสถานที่ที่สวยที่สุดในอัมสเตอร์ดัม ภายในจะประกอบด้วยบ้านสไตล์เก่าแก่เรียงราย ที่นี่ถือได้ว่าเป็นสำนักแม่ชีของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ซึ่งในสมัยก่อนสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่แม่ชีคอยดูแลและให้การศึกษากับคนยากจน
The Begijinhof จะเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น
 
Cube Houses
เป็น 1 ในสัญลักษณ์ของเมือง ซึ่งมีมากก่า 40 บ้าน และตั้งต่อเรียงกัน 45 องศา ใจกลางเมืองรอทเทอดัม Cube Houses ถูกออกแบบโดย Piet Blom ตั้งแต่ปีค.ศ. 1984 การออกแบบของเขาต้องการนำเสนอถึงบ้านที่สร้างด้วยไม้ทั้งบ้าน และเป็นหมู่บ้านที่อยู่ใจกลางเมืองใหญ่ได้
 
Willemsbrug
เรียกง่าย ๆ ว่าสะพานแดง ซึ่งเป็นสะพานแขวนยาว 318 เมตร เชื่อระหว่างทิศเหนือกับใต้ของเมือง เปิดใช้ตั้งแต่ปีค.ศ. 1878 ถึงแม้จะดูเก่าแก่ไป แต่ก็ได้ปรับปรุงไปแล้วครั้งหนึ่งในปีค.ศ. 1981 สะพาน Willems หรือสะพานแดง ถูกออกแบบโดยสถาปนิก A. Veerling ซึ่งในอดีตกลายเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำ Meuse ที่สำคัญที่สุดของเมือง
 
Erasmusbrug
สะพานขาว หรือ สะพาน Erasmus กลายเป็น 1 ในสัญลักษณ์ของเมือง และเป็น 1 ในสะพานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีความยาวทั้งสิ้น 800 เมตร
 
Madurodam
เป็นสวนสาธารณะที่จำลองประเทศเนเธอร์แลนด์แบบลักษณะย่อ ไม่ว่าจะเป็นตึกต่าง ๆ, ตลาด, คลอง, กังหันลม, สนามบิน Schiphol, ท่าเรือ Rotterdam, Dam Square และสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ไว้ในแห่งเดียวกัน
 
Dom Tower
เป็นหอคอยของโบสถ์ที่สูงและเก่าแก่ที่สุดในประเทศเนเธอร์แลนด์ และกลายเป็นแลนด์มาร์คของเมืองอูเทรค Dom Tower ถูกสร้างในระหว่างปีค.ศ. 1321 ถึงปีค.ศ. 1382 มีความสูงขนาด 112 เมตร
 
Trajectum Lumen
เป็นเส้นทางแสดงศิลปะแสงสี ใจกลางเมืองอูเทรค ซึ่งสร้างสรรค์โดยศิลปินที่มีชื่อเสียงในระดับโลก ซึ่งจะทำให้เราได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ ของเมือง บ้านเมือง ตึกต่าง ๆ สะพาน ซึ่งจะมีแสงสีประดับนานา
 
Vrijthof Square
มาสท์ทริค เป็นเมืองขนาดใหญ่ มีจัตุรัสที่เป็นประวัติศาสตร์อยู่หลากหลายที่ และที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดคือ Vrijthof ซึ่งสามารถมองเห็นโบสถ์ Saint Servatius ได้อย่างสวยงาม ด้วยจัตุรัสแห่งนี้อยู่ใจกลางเมืองเก่าของมาสท์ทริค จึงล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ และหลากหลายร้านอาหารและคาเฟ่มากมาย
 
The Mills of Kinderdijk
ไปเที่ยวเนเธอร์แลนด์ทั้งที ต้องไปดูกังหันลมที่ Kinderkijk ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการจัดการเรื่องน้ำของชาวดัตช์ได้เป็นอย่างดี Kinderdijk ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับ Rotterdam ซึ่งห่างเพียง 25 กิโลเมตร ที่นี่เป็นดินแดนแห่งกังหันที่ให้ภาพที่สวยงามและน่าประทับใจกับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง
 
Zaanse Schans
เป็นหมู่บ้านที่ยังคงอนุรักษ์วัฒนธรรมต่าง ๆของชาวฮอลแลนด์ไว้ และมีพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ มากมาย ที่นี่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากทางเหนือของอัมสเตอร์ดัมพ์ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาเข้าชมต่างก็ประทับใจในความเป็นอยู่ของชาวดัตช์เมื่อศตวรรษที่ 17 และ 18 โดยพื้นที่ภายในหมู่บ้านจะประกอบด้วย บ้านสไตล์เก่าแก่, ทุ่งเลี้ยงแกะ, โรงงานทำโลหะ, ฟาร์มชีสและฟาร์มนม, ร้านขายของเก่า และกังหันลมมากมาย
 
The Royal Palace
ตั้งอยู่บริเวณของ Dam Square ในเมืองอัมสเตอร์ดัม ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของพระราชวังที่ยังใช้เป็นที่อยู่อาศัยของราชวงศ์อยู่ The Royal Palace ในอัมสเตอร์ดัม นั้นไม่ใช่สถานที่ที่ Queen Beatrix ทรงอาศัยเป็นประจำ แต่พระองค์จะใช้สำหรับต้อนรับแขกสำคัญในบางโอกาสเท่านั้น
The Royal Palace เปิดให้กับผู้คนทั่วไปในการเข้าชม โดยนักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมภาพวาด และสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ภายในพระราชวังได้อีกด้วย
 
Rietveld Schröder House
บ้านที่ออกแบบโดยสถาปนิก Gerrit Rietveld ซึ่งกลายเป็นมรดกของโลก เนื่องจากเป็นสไตล์ความคิดที่ผสมผสานระหว่างแนวคิดที่เคร่งครัดร่วมกับจิตใจ และที่นี่ได้กลายเป็นสถานที่ที่มีผลกระทบอย่างมากต่อการสร้างบ้านในต้นของยุคสมัยใหม่
 
Het Binnenhof
เป็นศูนย์กลางทางการเมืองในประเทศเนเธอร์แลนด์ ตั้งอยู่ที่ The Hague ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้รับการอนุญาติให้เยี่ยมชมทั้ง Ridderzaal และชั้นที่ 1 และ 2 ของรัฐสภา
 
Het Vredespaleis (The Peace Palace)
ตั้งอยู่ใน The Hague ซึ่งมาจากแนวคิดของสันติภาพและความสงบของโลก พระราชวังได้ก่อสร้างเสร็จในปีค.ศ. 1913 ซึ่งมีความสวยงามไม่ว่าจะเป็น สถาปัตยกรรม, การออกแบบภายใน และการจัดสวนรอบ ๆ พระราชวัง

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557

Métro de Paris

รถไฟฟ้าปารีส (ฝรั่งเศส: Métro de Paris) เป็นระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองก็ว่าได้ เห็นได้ชัดจากอิทธิพลของนวศิลป์ (Art Nouveau) มีเส้นทางทั้งหมด 16 สาย ส่วนมากมักจะอยู่ใต้ดินและมีความยาวทั้งสิ้น 213 กิโลเมตร (133 ไมล์) และมีสถานี 298 แห่ง
รถไฟฟ้าสายแรกเปิดโดยไม่มีพิธีรีตองในปี พ.ศ. 2443 ระหว่างงานนิทรรศการนานาชาติ (Exposition Universelle 1900) หลังจากนั้นระบบขนส่งมวลชนรถไฟฟ้าได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเสร็จในช่วงปี พ.ศ. 2463 ส่วนการขยายออกไปยังชานเมืองได้บรรลุในช่วง 10 กว่าปีต่อมา
ระบบรถไฟฟ้าปารีสได้ถึงจุดอิ่มตัวในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งระบบรถไฟฟ้าก็ได้นำขบวนรถไฟฟ้าใหม่เข้ามาให้บริการเนื่องจากการจราจรอันคับคั่ง ซึ่งการต่อเติมนั้นเป็นไปได้ยากและมีขีดจำกัดจึงได้เกิดรถไฟฟ้าแอร์เออแอร์ขึ้นในปี พ.ศ. 2503 เป็นต้นมา
กรุงปารีสเป็นเมืองที่มีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่หนาแน่นที่สุดในโลก ด้วยสถานีกว่า 245 แห่งภายในเนื้อที่กรุงปารีส 41 ตารางกิโลเมตร (16 ตารางไมล์) แต่ละสายจะมีชื่อเป็นหมายเลขตั้งแต่ 1 ถึง 14 และมีสายรองอีกสองสายคือ สาย 3 (2) และสาย 7 (2) สายรองทั้งสองเคยเป็นส่วนหนึ่งของสาย 3 และ 7 แต่แยกตัวออกมาภายหลังในปี พ.ศ. 2514 และ พ.ศ. 2510 ตามลำดับ
รถไฟฟ้าปารีสมีสถานีทั้งหมด 298 แห่ง (382 ป้าย) โดยเชื่อมต่อกับสายอื่น 62 ป้าย มีจำนวนผู้โดยสารใช้บริการประมาณ 4.5 ล้านคนต่อวัน (1,409 ล้านคนต่อปี) ถือเป็นลำดับที่ 4 ของโลก ตามหลังมอสโก โตเกียว และเม็กซิโกซิตี และอยู่ในลำดับที่ 7 ของโลกเมื่อเปรียบเทียบระยะทางการเดินรถไฟฟ้า รองจากนิวยอร์ก โซล โตเกียว มอสโก มาดริด (แต่ถ้ารวมกับแอร์เออแอร์แล้วจะอยู่ในอันดับที่ 1) ส่วนจำนวนสถานีนั้นอยู่ที่ลำดับ 3 ของโลก รองลงมาจากนิวยอร์ก (468 สถานี) และโซล ทั้งนี้สถานีชาเตอแล-เลอาลยังเป็นสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย
แต่ละสายจะมีเลขและสีในการบ่งบอก ส่วนทิศทางในการเดินทางเห็นได้จากสถานีปลายทางของแต่ละสาย

ประเภทของรถไฟ
รถไฟในประเทศจะมีอยู่ 5 ประเภทด้วยกัน ได้แก่
1.TGV (Train à Grande Vitesse) เป็นรถไฟความเร็วสูง ซึ่งความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 320 km/h เป็นรถไฟที่ราคาตั๋วแพงที่สุด และเป็นรถไฟที่ใช้วิ่งระยะไกล อีกทั้งยังมีโบกี้ขายอาหารไว้บริการอีกด้วย

2.TGV ระหว่างประเทศ ได้แก่
  • Eurostar -> England
  • THALYS -> Bruxelles, Colonge, Amsterdam
  • TGV&ICE -> Germany
  • TGV LYRIA -> Switzerland
  • ELIPSOS -> Spain
  • TGV France Italy -> Italy

3. INTERCITÉS เป็นการรวมตัวกันของ Corail, Lunéa, Téoz และ Intercité เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นรถไฟที่ใช้วิ่งในระยะระดับกลาง และวิ่งทั้งกลางวันและกลางคืน สำหรับรถไฟกลางคืนจะมีเบาะที่สามารถปรับให้นอนสบายกว่ารถไฟประเภทอื่นๆ หรือจะเลือกเป็นแบบเตียงนอนก็มี

4.TER (Transport Express Régional) เป็นรถไฟที่วิ่งภายในแคว้น ดังนั้นราคาตั๋วและส่วนรถต่างๆ จึงแล้วแต่ว่าแคว้นนั้นๆจะมีการบริหารอย่างไร มีบัตรส่วนรถสำหรับคนในแคว้นนั้นหรือไม่

5.Transilien หรือ RER (réseaux express régional d’ile-de-France) เป็นรถไฟเหมือน TER แต่จะวิ่งเฉพาะในเขต Ile-de-France เท่านั้น

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557

กำเนิดเกมลูกหนังโลก
หาก จะพูดถึงกีฬาฟุตบอล หลายคนอาจจะรู้ดีว่าเป็นกีฬาที่คนทั่วโลกนิยมชมชอบกันมากที่สุด แต่ถ้าจะมองย้อนกลับไป คงจะมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ว่า จริงๆ แล้ว ต้นกำเนิดของฟุตบอลไม่ได้เริ่มขึ้น เพียงแค่ 100 -200 ปีที่ผ่านมา

จริงๆ แล้ว ฟุตบอลเริ่มแพร่หลายและนิยมเล่นกันมากว่า 2,000 ปีมาแล้ว โดยแรกเริ่มมีการค้นพบ ว่าในราชวงศ์ ฮั่น ของจีน ช่วง 200 -300 ปีก่อนคริสตกาล มีการเล่นฟุตบอลกันแล้ว แต่ในครั้งนั้น ขุนนาง รวมทั้งประชาชนทั้งหลายจะนิยมเล่นกันเพื่อเป็นการออกกำลังกาย เสริมสร้างความแข็งแกร่ง โชว์ทักษะความสามารถเฉพาะตัว ไม่มีการเข้าปะทะกัน โดยมีการนำขนนกมาเย็บติดกับหนังสัตว์ แล้วใช้เท้าเตะบอลขนนกนี้ให้สูง 30 -40 เซนติเมตร ข้ามไม้ไผ่ที่คั่นกลางระหว่างผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่าย ใครสามารถทำให้อีกฝ่ายรับบอลขนนกไม่ได้ ก็จะเป็นฝ่ายชนะ ซึ่งการเล่นแบบนี้ ต้องอาศัยคนที่มี ทักษะ ปฏิภาณ - ไหวพริบที่ยอดเยี่ยม เนื่องจากไม่อนุญาตให้ใช้มือตีบอลขนนก แต่จะอนุญาตให้ใช้ ไหล่, หน้าอก, เข่า,เท้า และ ศีรษะ เดาะหรือเตะเจ้าบอลขนนกเท่านั้น

จากนั้นอีก 500 - 600 ปีต่อมา ที่ประเทศญี่ปุ่นจึงมีการเล่น ที่เรียกว่า
"คามารี่" และมีการพัฒนาการนำหนังสัตว์มาทำเป็นลูกบอล แต่ว่าทำให้มันกลมขึ้น แตก ต่างจากสมัยราชวงศ์ ฮั่น มีการเล่นที่เป็นแบบแผนและสง่างามมากขึ้น แม้แต่ในราชสำนักยังนิยมเล่นกันในงานราชพิธีต่างๆ ซึ่งวิธีการเล่นก็ง่ายๆ โดยมีข้อแม้ ห้ามใช้แขน แต่ให้ใช้เท้า, ขา, หน้าอก, เข่า รวมทั้งศีรษะ เดาะบอล ภายในเขตกำหนด แล้วส่งบอลต่อไปให้ผู้เล่นคนอื่น ใครที่ทำบอลหล่นตกลงสู่พื้นถือว่าแพ้ เกมนี้เป็นที่นิยมกันมาก จวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังมีผู้ที่นิยมเล่นกันในประเทศญี่ปุ่น

ส่วนในทวีปยุโรป กีฟาฟุตบอลที่ว่านี้ ก็เริ่มนิยมเล่นกันตั้งแต่สมัยกรีกและโรมัน โบราณ โดย กรีก จะเรียกว่า "อีปิสกายรอส" ขณะที่ โรมัน จะเรียกว่า "ฮาร์ปุสตัม" ซึ่งการเล่นจะแบ่งเป็น 2 ฝ่ายในพื้นที่สี่เหลี่ยม มีเส้นแบ่งกึ่งกลางสนามและเส้นเขตแดน โดยผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องพยายามแย่งลูกฟุตบอลเล็กๆ แล้วใช้มือส่งบอล พาไปยังเขตแดนฝั่งตรงข้ามจนทำประตูให้ได้ ซึ่งการเล่น"อีปิสกายรอส" หรือ "ฮาร์ปุสตัม" ค่อนข้างจะไม่มีกฏเกณฑ์อะไรมาก สามารถเข้าไปอัด, กระแทก หรือ ชก คู่ต่อสู้ที่ถือบอล เพื่อพยายามแย่งบอลมาให้ได้ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่าย

สำหรับกีฬาฟุตบอลสมัยใหม่ ที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างคล้ายกับในปัจจุบันนี้ เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ที่ประเทศอังกฤษ จนในปี 1846 สมัยสมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ จึงเริ่มกำหนดกฏข้อบังคับ เรียกว่า "กติกาเคมบริดจ์" มี การแบ่งคู่แข่งออกเป็น 2 ทีม อนุญาตให้ใช้ทุกสรีระของร่างกายเล่นฟุตบอลได้ ยกเว้นมือเพียงอย่างเดียว จนกระทั่งได้รับ ความนิยมอย่างสูงแพร่หลายไปทั่วโลก และจากความนิยมนี้เอง ในปี 1902 เคานต์ ฟาน เดอ สเตร์ต็อง ปูตัว จึงได้ปรึกษา หารือกับ คอร์เรเลียส เฮิร์ชมันน์ นายธนาคารชาวดัตช์ เพื่ออยากจะจัดเกมการแข่งขันฟุตบอลโลกขึ้น เพื่อพิสูจน์ว่าชาติใดมี ลีลาการเล่นที่เป็น 1 ในโลก

แต่หลังจากที่ เคานต์ ฟาน เดอ สเตร์ต็อง ปูตัว กับ คอร์เรเลียส เฮิร์ชมันน์ ได้ส่งเรื่องนี้ไปให้ เฟรเดริค วอลล์ เลขาธิการสมาคมฟุตบอลของ อังกฤษ พิจารณาเพื่อขอความร่วมมือ ทว่าความคิดนี้ก็ต้องล้มเลิกลง เพราะ วอลล์ ไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตามในปี 1904 ก็นับว่าโชคยังดีที่องค์กรลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ของ โลก อย่างสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) สามารถก่อตั้งขึ้นได้ โดยมี โรแบร์ กูริน เป็นประธานคน แรก จุดมุ่งหมายก็เพื่อ อยากจะจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกให้ได้
และความพยายามของฟีฟ่าก็ต้องรอเกือบ 30 ปีกว่าจะ ประสบความสำเร็จขึ้นมาได้ เมื่อ จูลส์ ริเมต์ ประธาน ฟีฟ่าชาวฝรั่งเศส ซึ่งรับตำแหน่งเป็นคนที่ 3 ในปี 1921 ได้ร่วมมือกับ อองรี เดอ โลเนย์ ประธานลูกหนังของเมืองน้ำหอม ผลักดันให้มี การลงมติชนะ 25 เสียง ต่อ 5 ให้ประเทศอุรุกวัยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ฟุตบอลโลก เป็นครั้งแรก แม้จะมีการคัดค้านจากหลายชาติในทวีปยุโรป ที่เห็นว่าการเดินทางไปทวีปอเมริกาใต้ค่อนข้างใช้ระยะเวลานาน รวมทั้งต้องเสียค่า ใช้จ่ายอย่างมหาศาลก็ตาม ฟุตบอล โลกจึงได้ถือกำเนิดเป็นครั้งแรก ที่ประเทศอุรุกวัย ในปี 1930 ด้วยข้ออ้างที่ว่า อุรุกวัย เป็นเจ้าของแชมป์ในกีฬา โอลิมปิกเกมส์ 2 สมัย และยังสามารถออกค่าใช้จ่ายให้กับทุกทีมที่เดินทางมาแข่งขันได้ ทำให้กีฬาลูกหนังที่มีอายุยืนยาวมานานหลายพันปีอุบัติขึ้นอย่างเป็นทางการ ให้ทุกชาติทั่วโลกต่างไขว่คว้าหาความสำเร็จตั้งแต่บัดนั้น เป็นต้นมา

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เบลเยียม สวรรค์แห่งช็อกโกแลต  เที่ยวเมืองบรูจจ์ นอกจากสถานที่่ท่องเที่ยวแล้ว “เบียร์” ของเบลเยียมก็มีชื่อก้องโลกไม่แพ้ช็อกโกแลตเลยเชียว
เบลเยียม สวรรค์แห่งช็อกโกแลต ตอนที่ 2 เที่ยวเมือง บรูจจ์
หลังจากชาร์ตแบตในร่างกายมาเต็มเปี่ยม ก็ถึงเวลาเคลื่อนทัพเยี่ยมชมดินแดนช็อกโกแลตกันต่อ ซึ่งเมืองสวยในใจวันนี้ที่ต้องไปเห็นให้ได้กับตาคือ เมืองบรูจจ์
Brugge (บรูจจ์) เมืองบรูจจ์ เป็นเมืองริมชายฝั่งทะเลที่โด่งดังเมืองหนึ่งของประเทศเบลเยียม เมืองนี้ถูกล้อมรอบด้วยคูเมืองถึงสองชั้น ซึ่งน่าจะเป็นการป้องกันข้าศึกศัตรูในสมัยก่อนวิธีหนึ่ง ในปัจจุบัน บ้านเรือน อาคาร และโบสถ์ ยังคงรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเดิมคือ เฟลมมิช และเรเนซอง ที่ดูวิจิตรสวยงามดุจดั่งมนต์ขลัง ตึกรามบ้านช่องดูเป็นระเบียบ ถนนหนทางก็ดูสะอาดตา แสดงว่าผู้คนเค้าต้องมีระเบียบวินัยในตนเองเป็นอย่างมาก
เบลเยียม สวรรค์แห่งช็อกโกแลต ตอนที่ 2 เที่ยวเมือง บรูจจ์
เมื่อมาเมืองบรูจจ์ ก็ต้องมองหาสถานที่ที่น่าสนใจและมีชื่อเสียง เลยเดินเข้าโบสถ์ซะเลย เพราะที่โบสถ์พระแม่มารีของเมืองนี้มีประติมากรรมหินอ่อนชื่อว่า Madonna & Child ที่งดงาม โดยแกะสลักจากฝีมือศิลปินชื่อก้องโลกอย่าง มิเคลันเจโล เมื่อเดินเข้ามาภายในมันช่างเงียบสงบสมกับเป็นโบสถ์จริงๆ และบรรยากาศก็เย็นๆ หันซ้ายแลขวา และแล้วสายตาก็มาปะทะกับประติมากรรมหินอ่อนอันเลื่องชื่อที่ดูอ่อนช้อยงดงาม ไม่รู้ว่าท่านมิเคลันเจโลทำได้อย่างไร สุดยอด!
เบลเยียม สวรรค์แห่งช็อกโกแลต ตอนที่ 2 เที่ยวเมือง บรูจจ์
ตื่นจากความตะลึงได้สักพัก ก็เดินออกมาสู่จัตุรัสใจกลางเมือง เยี่ยมชมวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ ต่างออกมายืดเส้นยืดสาย นั่งจิบกาแฟรับแดดรับลมตามร้านอาหาร ที่มีอยู่รอบจัตุรัส ซึ่งก็มีกิจกรรมต่างๆ มากมายไม่ว่างเว้น ณ จัตุรัสกลางเมืองแห่งนี้ อย่างเทศกาลเบียร์ ก็จะมีขบวนพาเลสยกมาอวดโฉมแสดงถึงความเป็นมาแบบดั้งเดิม ผู้คนก็แต่งตัวแบบชาวพื้นเมือง เป็นที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวต่างเมืองยิ่งนัก
เบลเยียม สวรรค์แห่งช็อกโกแลต ตอนที่ 2 เที่ยวเมือง บรูจจ์
ออกจาก เมืองบรูจจ์ จึงรีบมุ่งหน้าสู่อีกเมืองหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ที่ น่าสนใจไม่น้อยเลย เพราะเห็นเค้าบอกว่าเมืองนี้มีแต่ผู้หญิง เอ๊ะ…ทำไมเป็นงั้นล่ะ เลยรีบซอยเท้าไปหาคำตอบที่เมือง Tongeren
เบลเยียม สวรรค์แห่งช็อกโกแลต ตอนที่ 2 เที่ยวเมือง บรูจจ์
Tongeren เป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดของประเทศเบลเยียม ตัวเมืองล้อมรอบด้วยกำแพงหินที่ดูแน่นหนาแข็งแรง เมืองนี้นับว่าเป็นเมืองที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวต่างแดนมากที่สุด เพราะนอกจากประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจแล้ว สถาปัตยกรรมและสิ่งปลูกสร้างที่ยังคงอยู่ มันเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้ศึกษาและใคร่รู้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะพวกที่ชอบประวัติศาสตร์ต่างแดนอย่างเรา ที่สำคัญเมืองนี้เค้ามีไกด์คอยบอกกล่าวเล่าเรื่องราว และพาเดินชมรอบเมืองกันเป็นอาชีพเลยเชียว
เบลเยียม สวรรค์แห่งช็อกโกแลต ตอนที่ 2 เที่ยวเมือง บรูจจ์
เลยได้ความมาว่า แต่เดิมในครั้งประวัติศาสตร์พวกนักต่อสู้เพื่อศาสนา เค้าเกณฑ์ผู้ชายออกไปรบทับจับศึก จึงปล่อยให้ผู้หญิงนั้นอยู่บ้าน แต่เนื่องจากเหล่าบรรดาผู้หญิงต่างก็อยู่กระจัดกระจายไปทั่ว ซึ่งยากแก่การดูแล จึงให้มารวมตัวกันอยู่ที่เมืองนี้เพื่อง่ายต่อการดูแล และรักษาความปลอดภัย แต่ก็นั่นแหละ เมื่อเหล่าแม่บ้านมารวมตัวกันก็เลยเกิดการหาอาชีพเสริมเพื่อหารายได้ระหว่าง สามีไปรบ จึงได้มีการทำบ้านพักคนชราเกิดขึ้น แต่มีข้อแม้ว่า หากคนชราใดที่มีฐานะและอยากมาอยู่บ้านนี้ ก็ต้องมีการจ่ายเงินเป็นการแลกเปลี่ยน เลยทำให้บรรดาแม่บ้านนักรบพวกนี้มีรายได้ นับว่ามีฐานะกันเลยทีเดียว แต่เค้าก็ไม่ได้นอนกอดเงินอย่างเดียวนะ พวกเค้ารวมเงินกันสร้างโบสถ์ ซึ่งเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ไว้ที่เมืองนี้ด้วย เรียกว่าเงินหมุนเวียนสู่สังคมจริงๆ ซึ้ง
เบลเยียม สวรรค์แห่งช็อกโกแลต ตอนที่ 2 เที่ยวเมือง บรูจจ์
ย่ำเท้ากันจนเมื่อย แต่มีความสุขจริงๆ ที่สมองเต็มอิ่มไปด้วยประวัติศาสตร์ต่างแดนแต่ครั้งโบราณ แต่ว่าท้องมันเริ่มครวญครางถามว่าลืมอะไรไปหรือเปล่า อืม…น่าเห็นใจ งั้นขอปิดท้ายทริปเบลเยียมด้วยการหาอาหารเลื่องชื่อของประเทศนี้เอาใจมันซะ หน่อย
อาหารท้องถิ่นลือนามของชาวเบลเยียม คือ Moules Frites และ Pommes Frites
เบลเยียม สวรรค์แห่งช็อกโกแลต ตอนที่ 2 เที่ยวเมือง บรูจจ์
Moules Frites คือ หอยแมลงภู่อบ ใส่หัวหอมใหญ่ และเครื่องปรุงรสตามแบบฉบับชาวเบลเยียม เสริฟพร้อมมันฝรั่งทอด แต่มันฝรั่งเค้าปรุงรสด้วยนะ รสชาติกลมกล่อม โดยเฉพาะหอยแมลงภู่เนื้อหวาน สดทุกตัว อร่อยถูกปากเลยซัดซะพุงกาง จากนั้นต่อด้วยอีกจานที่ลือชื่อ แต่เราว่ามันน่าจะเป็นของกินเล่นแกล้มเบียร์มากกว่า เลยจัดมาคู่กันซะเลย
Pommes Frites คือ มันฝรั่งทอดต้นตำหรับฉบับเบลเยียม น่าจะเป็นอย่างเดียวกับที่เสริฟมาพร้อมกับหอยแมลงภู่นั่นแหละ แต่คราวนี้จัดเต็มจานเลย เพราะจะนำมาเคล้าเบียร์ซะหน่อยจะได้คล่องคอ เพราะเบียร์ของประเทศเบลเยียมนี่ก็ ชื่อก้องโลกไม่แพ้ช็อกโกแลตเลยเชียว แล้วก็จริงดังว่า มันฝรั่งเค้ากรอบนอกนุ่มใจถูกใจจัง แถมมีชีสดิ๊ปให้จิ้มอีก อร่อยที่สุด จิบเบียร์ไปกินมันฝรั่งไปจนลืมว่าท้องจะแตกแล้ว แต่เบียร์เค้าก็สุดยอดมีหลายรสชาติให้เลือก แต่ไม่ต้องกลัว ไม่เมาหรอก ไม่มีเบียร์ชาติไหนขมปี๋เท่าเบียร์ไทยอีกแล้ว แล้วไม่นานทุกอย่างก็อันตรธานหายไปในพริบตา เลยขอปิดทริปการเดินทางแบบตาหวานเยิ้ม และคอนเฟริ์มว่าเบลเยียม ของเค้าเยี่ยมจริงๆ
เบลเยียม สวรรค์แห่งช็อกโกแลต ตอนที่ 2 เที่ยวเมือง บรูจจ์

วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2557

วัฒนธรรม ในประเทศฝรั่งเศสและสิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำ

Sleep in officeชาวฝรั่งเศสมีวัฒนธรรมการนอนกลางวัน จึงส่งผลให้ประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศสชอบนอนกลางวันตามไปด้วย อย่างไรก็ตามในส่วนลึกของวัฒนธรรม คล้ายคลึงกับของอังกฤษและอิตาลีอยู่แล้ว ไม่สามารถแบ่งได้ชัดเจนเด่นชัด เช่น การจับมือ ภาษา เป็นต้น สิ่งที่ควรทำ - ไม่ควรทำ 1.คุณสามารถกล่าวทักทายว่าบงชู (Bonjour) ซึ่งหมายถึงสวัสดีตอนเช้า หรือบงซัว (Bonsoir) ที่หมายถึงสวัสดีตอนเย็น กล่าวลาเมื่อจะจากไปด้วยคำว่า โอ"เครอ"วัว (Au revoir)  ที่แปลว่า ลาก่อน และกล่าวขอบคุณว่า แม็กซิ (Merci) ได้Bonjour in France2. วิธีทักทายสำหรับคนที่รู้จักกันนั้นคือการแลกจูบแก้มซึ่งกันและกัน ไม่ว่าคู่ทักทายของคุณจะเป็นหญิงหรือชาย ตามงานพิธีต่างๆ ชาวฝรั่งเศสใช้วิธีชนแก้มกันทั้งสองข้าง (la bise) ว่ากันว่าชาวปารีสนิยมแนบแก้มกันถึง 4 ครั้ง ถ้าเป็นเมืองนอกเขตปารีสทำเพียง 2 ครั้งBise bise3. เมื่อไปรับประทานอาหารตามภัตราคารอย่าตะโกนเรียกบริกรว่า"การ์ซ็อง (garçon)" ที่ตรงกันกับภาษาอังกฤษว่า boy ซึ่งในภาษาฝรั่งเศสถือว่าไม่ สุภาพ ควรเรียกว่าเมอซิเออร์ และกล่าวคำว่า ซิล วู เปล ซึ่งแปลว่ากรุณา เวลาสั่งอาหารหรือขออะไรเพิ่มเติมจึงถือว่าสุภาพและควรถอดหมวก เสื้อคลุม โอเวอร์โค๊ดหรือแจ้กเก็ต เพื่อแสดงความเคารพต่อสถานที่ก่อนทุกครั้งBoy = Garcon4. สนามหญ้าในฝรั่งเศสมีไว้ให้ดูและชื่นชมความเขียวชอุ่ม ห้ามแตะต้องเด็ดขาด ยกเว้นตามสนามหญ้าที่เปิดเป็นสาธารณะ หากคุณละเมิดกฏเข้าไปในสนามหญ้าซึ่งมีป้าย pelouse interdite แปลว่า สนามหญ้าห้ามเข้า กำกับอยู่ ถือว่าคุณทำผิดกฏหมายpelouse interdite - garden permitt5. เมื่อชาวฝรั่งเศสต้องการโบกมือลาเขาจะยกมือพร้อมกับขยับนิ้วขึ้นลง ๆSay Good bye6. รถแท็กซี่ในฝรั่งเศสนั่งได้ 3 คน เฉพาะที่ตรงด้านหลังคนขับเท่านั้นที่นั่งด้านขวามือข้างหน้าคู่กับคนขับ นั้น มักไว้ให้เป็นที่นั่งของสัตว์เลี้ยงTaxi in Paris

วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

CHRISTOPHE JOSSE คริสตอฟ จอสส์ ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส เจ้าของตำแหน่ง “แกรนด์ กูตูร์ริเย่ร์” ตำแหน่งอันทรงเกียรติที่สมาพันธ์ห้องเสื้อชั้นสูงแห่งประเทศฝรั่งเศส (La Chambre Syndicale de la Haute Couture Française) มอบให้กับผู้สร้างสรรค์ผลงานการออกแบบชั้นสูงระดับโอต์ กูตูร์ซึ่งมีเพียง 12 ห้องเสื้อชั้นนำระดับโลกเท่านั้น ที่ได้พิสูจน์ฝีมือจนได้ตำแหน่งอันทรงเกียรติมาครองนี้ ได้แก่ Adeline André, Anne Valérie Hash, Atelier Gustavolins, Chanel, Christian Dior, Christophe Josse, Franck Sorbier, Givenchy, Jean Paul Gaultier, Maurizio Galante, Stéphane Rolland และ Giambattista Valli

CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
สำหรับงานครั้งนี้ คริสตอฟ จอสส์ นำเสนอคอลเลคชั่นโอต์ กูตูร์ “Opulently Uncluttered” ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากโบสถ์ Church of Lights ในเมืองอิบารากิ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของทะดะโอะ อันโดะ สถาปนิกชื่อดังชาวญี่ปุ่น คอลเลคชั่นนี้สื่อถึงความโรแมนติกแบบร่วมสมัย เจือกลิ่นอายสปอร์ตแวร์จางๆ ใช้โครงสร้างแบบเรขาคณิต ให้อารมณ์มินิมัลแบบไม่จงใจ จุดเด่นอยู่ที่การนำวัสดุต่างเท็กซ์เจอร์มาผสมผสานกันอย่างลงตัวในแต่ละชุด อาทิ การแมชต์หนังจระเข้มันวาวกับผ้าเครปด้าน หรือการเนรมิตผ้าเครปสีขาวให้เกิดประกายเหลือบด้วยเทคนิค การไล่สีเลื่อม หรือการนำเม็ดแก้วเป่าสีทองมาประดับบนขนบีเวอร์ และผ้านีโอพรีน รวมถึงการใช้หนังแก้วสีทองประดับบนผ้าชีฟองสีดำที่ดูราวกับแร่ทองคำกำลังหลอมละลายอยู่บนเนื้อผ้า โทนสีหลักที่เลือกใช้คือขาว เทาอมเบจ ทอง และ ดำ และยังมีสีโอลด์โรส ม่วงไลแลค เทามุก ชมพูเหลือบเทา และสีฟ้าอมเขียวน้ำทะเล
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
คริสตอฟ จอสส์ สั่งสมประสบการณ์ด้านแฟชั่นจากการร่วมงานกับห้องเสื้อชั้นนำของฝรั่งเศสเป็นเวลากว่า15 ปี หลังจากจบการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ศิลป์จากมหาวิทยาลัยในปารีส และเลือกศึกษาต่อในสาขา Stylisme ก็ได้เข้าฝึกงานกับแบรนด์ Louis Féraud ต่อมาได้ร่วมงานกับห้องเสื้อ Torrente ห้องเสื้อชั้นสูงที่มีประวัติเก่าแก่ยาวนานของฝรั่งเศส ในฐานะผู้ช่วยมือหนึ่งของ Rose Torrente-Mett เจ้าของห้องเสื้อ
และต่อมาในปี 2003 หลังจากที่ Rose Torrente-Mett เสียชีวิตลง ก็รับบทบาทผู้สืบทอดตำแหน่งผู้อำนวยการ ห้องเสื้อ เขาเริ่มแสดงผลงานคอลเลคชั่นแรกในชื่อตนเอง ในปี 2005 และในปี 2006 ได้รับเกียรติจากสมาพันธ์ห้องเสื้อชั้นสูงแห่งประเทศฝรั่งเศสให้ร่วมโชว์ผลงานบนเวทีโอต์กูตูร์ แฟชั่นวีคในปารีส ในฐานะสมาชิกรับเชิญ ต่อมาในปี 2008 ได้ก่อตั้งห้องเสื้อของตนเองขึ้นในปารีส และในปี 2011 ก้าวขึ้นสู่ความเป็นที่สุดในตำแหน่ง “แกรนด์ กูตูร์ริเย่ร์”

CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
เอกลักษณ์อันโดดเด่นของคริสตอฟ จอสส์ คือผลงานแฟชั่นชั้นสูงที่สวมใส่ได้จริง สไตล์ “Urban Romanticism” สื่อถึงความเป็นผู้หญิงเต็มเปี่ยม ทั้งความโรแมนติก งามสง่า บางเบา อ่อนหวาน และนุ่มนวล ฟุ้งไปด้วยจิตวิญญาณแบบฝรั่งเศสผสมผสานกับดีไซน์ร่วมสมัย รังสรรค์ด้วยฝีมือการตัดเย็บอันประณีตจากช่างผู้ชำนาญ โดยนำเสนอทั้งคอลเลคชั่นโอต์ กูตูร์ และ Ready to wear

CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู
CHRISTOPHE JOSSE ดีไซเนอร์ระดับโลกชาวฝรั่งเศส อวดแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นสุดหรู